ประเพณีวันออกพรรษา
หากพูดถึงวันออกพรรษานั้นแล้ว หลายท่านคงนึกถึง การทำบุญตักบาตร ฟังธรรมเทศนา ที่วัดใกล้บ้าน และก็คงนึกถึงการตักบาตรเทโว ที่ทุกคนรู้จักในชื่อ วันเทโวโรหณะ หรือรู้จักกันในวันพระพุทธเจ้าเปิดโลก มีประวัติ ดังนี้คือในพรรษาที่ 7 นับแต่ปีที่ตรัสรู้ พระพุทธองค์จึงได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาอยู่หนึ่งพรรษา หรือ 3เดือน ครั้นถึงวันปวารณาออกพรรษา วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 พระพุทธองค์จึงเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ทางบันไดทิพย์ ทั้ง 3 ได้แก่ บันไดเงิน และ บันไดทอง และ บันไดแก้ว ซึ่งสักกเทวราช หรือพระอินทร์ ให้พระวิษณุกรรมเนรมิตทอดจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู่โลกมนุษย์ ที่ ประตูเมืองสังกัสนคร บรรดาพุทธศาสนิกชนพอทราบข่าวต่างก็มารอรับตักบาตรภัตตาหารกันอย่างเนืองแน่นชาวพุทธจึงยึดถือปรากฎการณ์ ในวัน แรม1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ให้เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ เรียก “วันเทโวโรหณะ” และ วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก เพราะวันนั้นโลกทั้ง 3 คือสวรรค์ มนุษย์ และ บาดาล หรือนรกภูมิ ต่างสามารถแลเห็นกันได้ตลอดทั้ง 3 โลก โดยในวันออกพรรษานั้นมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ในอดีตกาลดังที่จะกล่าวครับ ครั้นในอดีตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วถึงวันเข้าพรรษาและพระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาอยู่ ณ พระเชตุวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี เมื่อมีพระภิกษุมาจำพรรษาอยู่มากมายพระภิกษุเหล่านั้นจึงเกรงจะเกิดการขัดแย้งกันจนอยู่ไม่สุขตลอดพรรษา จึงได้ตั้งกฏกติกาว่าจะไม่พูดจากัน (มูควัตร) เมื่อถึงวันออกพรรษาพระภิกษุเหล่านั้นก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงตำหนิ แล้วทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุกระทำการปวารณาต่อกันว่า
ประเพณีวันเข้าพรรษา
ประวัติวันเข้าพรรษานั้นเริ่มต้นจากเมื่อสมัยพุทธกาลโดยพระพุทธเจ้าเป็นผู้กำหนดขึ้นเนื่องจากมีผู้มาเรียกเรียนว่า พระภิกษุสงฆ์เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยไม่หยุดหย่อนเลยแม้กระทั่งหน้าฝนที่ฝนตกหนัก และน้ำหลาก การเดินทางลำบาก กระทั้งบางครั้งพระสงฆ์เหล่านั้นยังเดินไปเหยียบย่ำพืชผัก หรือผลผลิตที่กำลังเติบโต และกำลังผลิดอกออกผล ได้รับความเสียหาย
ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้กำหนดให้ฤดูฝนเป็นฤดูสำหรับการหยุดพักการเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาของพระสงฆ์โดยกำหนดให้ตั้งแต่วันแรม 1ค่ำเดือน 8 เป็นวันเข้าพรรษา จนถึงวันขึ้น 15ค่ำเดือน 11และ เป็นวันออกพรรษา เพื่อพระสงฆ์จะได้หยุดพักจากการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และได้ปฏิบัติและศึกษาพระธรรมเพิ่มเติม และสั่งสอนลูกศิษย์หรือพระใหม่ที่เพิ่งบวชได้ร่ำเรียนธรรมะอย่างเต็มที่ โดยให้พระสงฆ์อยู่ประจำที่ไม่ไปจำวัดที่อื่นตลอดระยะเวลา 3เดือนที่เข้าพรรษานั้นแม้แต่คืนเดียว หากพระสงฆ์ไม่สามารถกลับมาทันก่อนรุ่งสางถือว่าภิกษุนั้นขาดพรรษา แต่มีข้อยกเว้นหากมีเหตุจำเป็นไม่สามารถกลับมาได้ทัน แต่ต้องกลับมาภายใน 7วัน
ประเพณีแข่งเรือยาว
ความสง่างาม และน่าเกรงขามของหัวเรือพญานาค คือเอกลักษณ์ของเรือยาวจังหวัดน่าน ทีมฝีพายจากทั่วทุกสารทิศต่างช่วงชิงความเป็นหนึ่ง เจ้าเรือพายแห่งสายน้ำน่าน เสียงเชียร์ดังสนั่นท้องน้ำ เสียงนกหวีดบอกสัญญาณ เสียงทุ้มต่ำของกลองเร่งเร้าจังหวะ สร้างความเร้าใจได้ตลอดการแข่งขัน”
สายน้ำน่าน บริเวณสะพานพัฒนาภาคเหนือช่วงฤดูน้ำหลาก เรือพายหัวพญานาคเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครแห่งเมืองน่านหลายสิบลำจากทั่วทุกคุ้มวัดต่างมาพร้อมกันเพื่อชิงชัยเจ้าแห่งสายน้ำน่าน ในงานบุญใหญ่ทอดถวายกฐินพระราชทานที่วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ที่มาของประเพณีเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ
เมื่อเจ้าผู้ครองนครน่านองค์หนึ่ง ระดมสล่านับร้อยลำใหญ่ ๒ ลำ ใช้เวลาสร้างกว่า ๒ ปี เสร็จแล้วมีพิธีบวงสรวงเทพยดาประจำไม้ตะเคียน และบายศรีสู่ขวัญอันเชิญเรือทั้งสองลำลงสู่แม่น้ำน่าน โดยตั้งชื่อเรือลำแรกว่า “เรือท้ายหล้า” และเรืออีกลำชื่อว่า “เรือท้ายทอง” ต่อมาจึงประกาศให้ชาวบ้านใช้เรือทั้งสองลำเป็นแม่แบบในการสร้างเรือ เพื่อนำมาแข่งขัน และกำหนดให้มีการจัดการแข่งขันขึ้นทุกครั้งที่มีงาน “ตานก๋วยสลาก” (ถวายทานสลากภัต) ของทุกปี
เริ่มต้นความงดงามด้วยริ้วขบวนเรือที่ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้เป็นลวดลายที่งดงาม ก่อขึ้นเป็นรูปร่างของสัญลักษณ์เมืองน่าน วัดภูมินทร์ก็ดี พระธาตุแช่แห้งก็ดี ค่อยๆ เคลื่อนไหลไปตามท้องน้ำผ่านสายตาผู้ชมนับหมื่น ตามด้วยขบวนเรือแข่งกระจายทั่วท้องน้ำ เมื่อทุกทีมพร้อม การจับสายประกบคู่เป็นที่เรียบร้อย เรือแข่งทั้งร่องน้ำซ้าย ร่องน้ำขวา เข้าประจำที่ สัญญาณปล่อยตัวมาพร้อมเสียงเชียร์ เสียงดนตรี และเสียงพากย์สุดเร้าใจ ริมฝั่งแบ่งโซนกองเชียร์ของแต่ละทีมแต่งกายด้วยสีสันสดใส ต่างร้องรำไปตามจังหวะ สอดประสานกับการจ้วงพายของฝีพาย จนเมื่อถึงเส้นชัย ใครจะแพ้ใครจะชนะไม่สำคัญเท่าภาพของความสนุกสนาน ความสามัคคี
การแข่งขันไม่ได้เน้นหนักในด้านการแพ้หรือชนะ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ความสนุกสนาน ความสามัคคี รอยยิ้มของผู้คน รวมทั้งน้ำใจนักกีฬาที่ต่างมอบให้กันโดยปราศจากผลประโยชน์ใดๆ และเรื่องราวของการแข่งขันเรือยาวจังหวัดน่านนั้น มากไปด้วยมนต์ขลังที่ยังคงเล่าผ่านเรือขุนน่าน ต้นแบบเรือดั้งเดิมที่ขุดจากไม้ตะเคียนทองทั้งต้น ยาว ๑๒ วา ๓ ศอก ทั้งกาบโกลนเรือ และหัว หางนาคราช ตกแต่งลวดลายตลอดรำเรือ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยโลดแล่นประกาศศักดาคว้าชัยชนะจนได้รับถ้วยพระราชทานจากในหลวงถึง ๓ ปีซ้อน ได้กลายเป็นตำนานเล่าขานถึงความยิ่งใหญ่ และถ่ายทอดเอกลักษณ์ของเรือยาวแห่งเมืองน่านให้เป็นที่รู้จักสืบไป
ประเพณีบุญบั้งไฟ
“นิทานพื้นบ้านเล่าสืบต่อกันมา ผาแดงนางไอ่ พระยาคันคาก ล้วนกล่าวถึงการจุดบั้งไฟถวายแด่พญาแถน เพื่อเป็นการขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล หลาบสิบปีได้สืบทอดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ความสวยงามของการตกแต่งขบวนที่ยิ่งใหญ่ ควันสีขาวพุ่งทะยานไปตามบั้งไฟแสนที่ขึ้นสู่ท้องฟ้า ตามมาด้วยเสียงดังสนั่น และเสียงลุ้นของผู้คน สุดเร้าได้ทุกครั้งไป”
เมื่อถึงเดือน ๖ ชาวอีสานจะมีการจัดงานประเพณีที่สำคัญ หนึ่งในฮีตสิบสอง จากความเชื่อในการบูชาพญาแถนให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พร้อมเข้าสู่การทำนาครั้งใหม่ และกล่าวกันว่าหากหมู่บ้านใด ชุมชนไหน มิได้จัดงานประเพณีนี้ขึ้นในปีนั้นๆ ฝนก็จะไม่ตก พื้นดินก็จะแห้งแล้งไม่สามารถทำการเพาะปลูกใดๆ ได้
เมื่อถึงวันงาน ก่อนการประกวดประชันบั้งไฟประเภทต่างๆ จะมีขบวนแห่บั้งไฟตกแต่งด้วยสีสันที่สวยงาม ตามมาด้วยเสียงดนตรีบรรเลงให้จังหวะในการเซิ้งบั้งไฟ เซิ้งกระติบ ฟ้อนขาลาย ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสาน และอีกหนึ่งสีสัน คือ ขบวนแห่การแต่งกายล้อเลียนบุคคล ผู้ชายบางคนสวมใส่ชุดหญิงสาวออกอากัปกิริยาอ่อนช้อย สร้างเสียงหัวเราะ และความสนุกสนานให้ผู้พบเห็น
การแข่งขันบั้งไฟของยโสธรมีการแบ่งเป็นประเภทแฟนซี บั้งไฟขนาดเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ นิ้ว บรรจุดินประสิวไม่เกิน ๔ กิโลกรัม เน้นที่ความสวยงาม รวมทั้งลีลา เมื่อจุดขึ้นฟ้าบางทีมอาจมีร่มหลากสีกางออก หรือมีเสียงประกอบ และประเภทบั้งไฟแสนซึ่งใช้แข่งขันกัน โดยนับจากเวลาที่บั้งไฟขึ้นลอยอยู่บนท้องฟ้า บั้งไฟของใครขึ้นนานที่สุด สังเกตจากหางที่ตกลงสู่พื้นก็เท่ากับว่าขึ้นได้สูง และได้รับชัยชนะในที่สุด
เมื่อถึงเวลาแข่งขัน แต่ละทีมตระเตรียมความพร้อมก่อนจุดบั้งไฟให้ทะยานออกจากฐาน พร้อมด้วยเสียงบั้งไฟแหวกอากาศที่แสดงถึงความเร็ว ทิ้งควันสีขาวไปตามเส้นทางสู่ท้องฟ้า ของใครยิ่งสูง อยู่บนฟ้าได้นาน ก็จะได้รับชัยชนะ ส่วนทีมที่พ่ายแพ้ บั้งไฟระเบิด หรือไม่ขึ้นก็ต้องถูกกระชากลากลงไปในบ่อโคลนเป็นที่สนุกสนาน อันเป็นการสานความสามัคคีระหว่างชุมชน และสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เข้าร่วมงานทุกครั้งไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น